นอกจากปัจจัยสี่และการให้ความรักความอบอุ่นแล้ว การปลูกฝังแนวคิดในการใช้ชีวิตที่ดีให้แก่ลูกตั้งแต่ยังเล็กก็เป็นเหมือนการมอบต้นทุนก้อนใหญ่หรือให้รากฐานที่แข็งแกร่ง ที่จะช่วยให้ลูกประสบความสำเร็จ รวมทั้งมีความสุขในอนาคตได้ด้วย
มีหนึ่งแนวคิดน่าสนใจ ที่กำลังเริ่มได้รับความสนใจในฝั่งประเทศเรา นั่นคือ “วิธีคิดแบบเติบโต” หรือ Growth Mindset ซึ่งเป็นวิธีคิดพื้นฐานที่สามารถช่วยพัฒนาความสัมพันธ์ในครอบครัว ความรัก การเรียน หน้าที่การงาน รวมไปถึงการใช้ชีวิตโดยรวมให้มีความสุขได้ เรามาดูกันดีกว่าว่าวิธีคิดแบบนี้คืออะไร มีประโยชน์อย่างไร และทำไมผู้ปกครองถึงต้องหันมาให้ความสนใจกันนะ
วิธีคิดแบบเติบโต (Growth Mindset) เป็นการศึกษาที่เริ่มต้นจาก Dr. Carol Dweck ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด โดยศาสตราจารย์ท่านนี้ทำการทดลองและศึกษามากมาย จนจำแนกวิธีคิดออกมาแบบคร่าวๆ ได้เป็นวิธีคิดแบบเติบโตและวิธีคิดแบบตายตัว ซึ่งความแตกต่างที่สำคัญของวิธีคิดทั้งสองแบบมีดังนี้
ในสังคมที่ชื่นชมแนวคิด “เก่งมาตั้งแต่เกิด” และในระบบการศึกษาที่เน้นการวัดผล ทำให้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ของเราเผลอยึดติดกับวิธีคิดแบบตายตัว แต่ยังไม่สายเกินไปที่จะลองปรับความคิดมา “เติบโต” เพื่อรับประโยชน์มากมายมหาศาล อาทิ
การมีวิธีคิดแบบเติบโต จะทำให้เราไม่กลัวความท้าทายใหม่ๆ รวมทั้งไม่ถอยหลังกลับเมื่อเจออุปสรรค เพราะคนในกลุ่มนี้จะไม่คิดว่าความล้มเหลวเป็นเรื่องเสียหายหรือน่าอับอาย แต่กลับมองว่าเป็นบันไดอีกขั้นที่จะทำให้ตนไปถึงเป้าหมายด้วยการเรียนรู้จากสิ่งที่ทำพลาด
นี่จึงเป็นการเปิดโอกาสตัวเองสู่ความเป็นไปได้ทั้งหลาย1 ไม่ว่าจะเป็นการกล้าฝึกฝนทักษะใหม่ๆ ลงเรียนวิชาแปลกๆ รับงานใหม่ที่ท้าทาย หรือประดิษฐ์-ทดลองสิ่งที่ไม่เคยมีใครคิดถึงมาก่อน และนี่เองจะเป็นรากฐานของความสำเร็จและการค้นพบตัวเอง
คนที่มีวิธีคิดแบบเติบโต จะให้ความสนใจกับการเรียนรู้ระหว่างทาง รวมถึงไม่ย่อท้อเมื่อล้มเหลว ซึ่งข้อดีก็คือทำให้มีประสบการณ์และเทคนิควิธีแก้ปัญหาที่เวิร์ค-ไม่เวิร์คมากกว่าคนอื่นๆ และเมื่อเจอปัญหาแบบเดิมในอนาคต ก็จะสามารถแก้ไขได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพกว่า
คนที่มีวิธีคิดแบบเติบโตจะไม่เชื่อเรื่องคำว่าแก่เกินกว่าจะทำอะไร ดังนั้นคนกลุ่มนี้จะพร้อมเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ไปตลอดชีวิต ทำให้ได้เปิดโลกและสนุกอยู่เสมอ แถมช่วยป้องกันภาวะสมองเสื่อมด้วยการกระตุ้นให้กล้ามเนื้อสมองทำงานอยู่ตลอด (รู้หรือไม่! สมองไม่เคยหยุดเรียนรู้ ยิ่งเรารับข้อมูลหรือฝึกฝนอะไรใหม่ๆ สมองก็จะยิ่งเติบโตแข็งแรงขึ้นเพราะถูกใช้งานอยู่เสมอนั่นเอง)1
เมื่อไม่ตีตราตัวเองว่าเป็นคนประเภทไหน มุมมองของเราก็จะกว้างขึ้น ทำให้เห็นภาพรวมและรู้จักการตั้งเป้าหมาย ซึ่งเป็นก้าวแรกที่สำคัญมากต่อความสำเร็จ เนื่องจากการทำอะไรอย่างมีเป้าหมาย จะก่อให้เกิดแรงจูงใจที่จะต่อสู้กับความย่อท้อได้ ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเด็กสนุกกับการเรียนชีววิทยาและตั้งเป้าหมายว่าจะเป็นสัตวแพทย์ ถึงเจอบทเรียนยากๆ ก็จะไม่ทิ้งเป้าหมายเพราะยังมีแรงใจเสมอ3
ไม่เห็นต้องแข่งกับใคร! คนที่มีวิธีคิดแบบเติบโตจะสนใจแต่การแข่งกับตัวเองหรือบรรลุเป้าหมายตามที่ตั้งไว้ โดยที่ไม่ค่อยใส่ใจเรื่องคำชมหรือต้องการพิสูจน์ตัวเองกับใคร2 พูดง่ายๆ ก็คือมีความสุขได้ด้วยตัวเองนั่นแหละ
วิธีคิดแบบเติบโตยังถือเป็นแนวคิดชีวิตบวกที่ทำให้เรามองโลกในแง่ดีและรู้จักเข้าอกเข้าใจผู้อื่นมากขึ้น นั่นเป็นเพราะเราเชื่อว่านิสัยคนสามารถพัฒนาและเปลี่ยนแปลงได้4 ดังนั้นเมื่อพ่อแม่เจอผู้ร่วมงานที่เข้ากันไม่ค่อยได้ หรือลูกโดนเพื่อนแกล้ง ก็จะยังรู้สึกว่ามีหนทางแก้ไขปัญหา ทำให้เครียดน้อยลงและมีโอกาสเดินทางไปสู่ความสุขหรือสบายใจได้ง่ายขึ้นมากกว่ากลุ่มคนที่มองปัญหาว่าไม่มีทางแก้ไข
เริ่มต้นวันนี้! ลองปรับมุมมองตัวเอง คิดใหม่เพื่อเปิดรับความเติบโต My Honey Bun เชื่อว่าหากปลูกฝังวิธีคิดดีๆ ตั้งแต่ต้น ก็จะเป็นการกรุยทางให้เด็กๆ ประสบความสำเร็จในแบบที่เค้าก็มีความสุขด้วย แถมพ่อแม่ก็ยังจะได้แฮปปี้ยิ้มกว้างไปตามๆ กันเลยล่ะค่ะ