ประกันชีวิต ฟังดูเป็นเรื่องหน้าเบื่อ เปิดมาเห็นก็แทบจะปิดหน้าเว็บทิ้ง คนโทรมาขายประกันก็มีมากมายไม่เว้นแต่ละวัน ไม่รู้ได้เบอร์เรามาจากไหนกันนัก ดูเป็นเรื่องหนักๆ ที่ไม่อยากจะคิดเลย คุณแม่ที่ทำงานไปด้วยเลี้ยงลูกไปด้วยคงเข้าใจดี แค่นี้ก็ยุ่งจะแย่แล้วค่ะ
แต่ถ้ามองจริงๆ แล้วมันอาจเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวกว่าที่คิดนะคะ อย่างน้อยก็ลองอ่านดูเพื่อให้รู้เอาไว้เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจของตัวเองแบบไม่ต้องมีใครมาพยายามยัดเยียดขายให้คุณค่ะ
ลองคิดดูเล่นๆ ไม่ต้องหาเหตุผลซับซ้อน สมมตินะคะว่าถ้าจู่ๆ เกิดเหตุการณ์บางอย่างขึ้นทำให้พรุ่งนี้เราไม่สามารถทำงานได้เป็นเวลา 3-4 เดือน หรือหนักกว่านั้น คือไม่อยู่แล้ว ลูกและครอบครัวที่เหลือจะอยู่ได้ไหม และที่สำคัญคืออยู่อย่างไร
จริงอยู่ที่ว่าเค้าคงอยู่กันได้ แต่อยากให้เค้ามีความเป็นอยู่แบบไหนเนี่ยแหละ เรื่องที่ต้องคิดหนัก ตัวอย่างเช่น หากคุณเป็นแม่ที่ทำงาน เอารายได้มาเป็นทั้งค่าใช้จ่ายในบ้านส่วนหนึ่ง ออมเงินเพื่อการศึกษาลูกและยังส่งเงินให้พ่อแม่ใช้ด้วย ถ้าขาดส่วนนี้ไปจะเกิดอะไรขึ้นไหม คุณพ่อเด็กจะช่วยซัพพอร์ตส่วนขาดหายไปที่คุณเคยมีส่วนช่วยจ่ายไหวหรือไม่ จ่ายค่าบ้าน ค่ากิน ค่าเทอม ไหวไหม พ่อแม่จะอยู่ได้ไหมหากขาดเงินที่เราเคยช่วยจ่าย ช่วยเก็บเป็นประจำทุกเดือน
ที่พูดมานี่ไม่ได้จะบอกว่าคุณต้องไปทำประกันชีวิตเดี๋ยวนี้นะคะ เราคงต้องเริ่มต้นที่การทำความเข้าใจก่อนค่ะ โดยเริ่มจากคำถามง่ายๆ ก่อนเลยว่าเราควรจะทำประกันชีวิตหรือไม่ ถ้าคุณเป็นคนที่ไม่มีภาระ ไม่ได้ต้องห่วงใคร ไม่ได้เลี้ยงพ่อแม่ ไม่มีลูก ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองก็มีเงินออมมากพอสามารถรองรับค่าใช้จ่ายได้เช่น ค่ารักษาพยาบาล รายได้ที่จะต้องสูญเสียไป หรือค่าจัดงานศพ ถ้ามีเงินสำรองมากพอสำหรับทุกอย่างแล้วก็ไม่จำเป็นต้องทำประกันค่ะ เพราะถือว่าเราไม่อยู่ก็ไม่ได้มีใครต้องเดือดร้อนในเรื่องการอยู่การกิน
ส่วนกลุ่มคนที่ต้องคิดหนักหน่อย ก็คือคุณพ่อคุณแม่ทั้งหลายนี่แหละค่ะ กลุ่มที่มีภาระที่ต้องใช้จ่ายมากเช่น มีลูกยังเล็ก ต้องจ่ายค่าเทอม ค่ากิน ค่ากิจกรรม ยังไม่รวมค่าผ่อนรถ ผ่อนบ้าน สารพัด เราหวังว่าจะไม่มีเรื่องอะไรร้ายๆ เกิดขึ้นกับทุกคนนะคะ แต่ทุกคนก็รู้กันดีเช่นกันว่าไม่มีอะไรแน่นอนในชีวิต ดังนั้นบทความนี้จึงอยากให้เหตุผลในการทำประกันชีวิตค่ะ โดยเฉพาะกลุ่มคุณแม่คุณพ่อที่ทำงาน มีรายได้มาเลี้ยงดูครอบครัว
อ่านต่อ
วิธีการเลือกประกันสุขภาพเด็ก: ซื้อให้ลูกทำไม? เลือกยังไงดี?
ตามที่กล่าวมาทั้งหมด ทุกอย่างก็อยู่ที่ตัวคุณเองนั่นแหละว่าจะให้เหตุผลกับตัวเองแบบไหนในการตัดสินใจทำหรือไม่ทำประกันค่ะ